Admin ผู้ดูเเลระบบ
จำนวนข้อความ : 12377 Join date : 27/11/2010 Age : 68
| เรื่อง: เรื่องยาว Fri 11 Apr 2014, 8:26 am | |
| ค่อยๆอ่าน
ยาวหน่อยนะครับ แต่เป็นการสนทนาที่ผมคิดว่าฟังได้ทั้งคนรุ่นเก่าและเด็กรุ่นใหม่
การสนทนาบนโต๊ะกาแฟคืนนี้ไม่มีข่าวเอ็กครูซีฟวงในอะไรให้ตื่นเต้น แต่เป็นการที่คนสองสามคนเริ่มกึ่งคุยสัมภาษณ์ตัวผมเองว่าหลังแก้วกาแฟว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนผมยังเป็นคนที่ต้องหาเงินมาจ่ายเงินเดือนลูกน้องเดือนละเกือบสามล้านบาท มีสำนักงานเล็กๆที่สีลม แล้วต้องเลิกหมดทุกอย่าง แล้วรู้สึกอะไรบ้างกับชีวิตตอนนี้ คำตอบนี้ผมคงใส่ดราม่าไม่ได้เพราะ คนที่ผมรับเข้ามาอยู่ใน Friend List และคนที่กด Follow ผมหลายคนรู้จักผมเป็นการส่วนตัว เคยเห็นชีวิตสมัยที่ผมยังขับรถยุโรปกินข้าวเย็นตามโรงแรม คุยเรื่องธุรกิจกับหุ้นส่วนงาน จ่ายเงินเดือนเด็กสี่สิบกว่าคน เป็นเรื่องปกติชีวิตประจำวัน
คำตอบของผมคือชีวิตผมโล่งขึ้นนะจากต้องทำงานตั้งแต่ 10โมงเช้าเลิกงานหลัง6โมงเย็น บางวันต้องเดินทางสี่ห้าร้อยกิโลเมตรโดยต้องขับรถเอง ช่วงสามปีหลังมีคนขับรถให้เพราะเริ่มอายุมากขึ้น จากที่ระยะหลังของการทำธุรกิจที่เริ่มไม่แฟร์ภายใต้ระบอบทักษิณ ที่เคยเครียดช่วงปลายเดือนกลางเดือนว่าจะเก็บเงินทันจ่ายเงินเดือนลูกน้องหรือเปล่า กลายเป็นต้องปิดองค์กรณ์ใหญ่ขายทรัพย์สินทั้งหมด แล้วมารับทำงานวิชาชีพอิสระทำคนเดียวได้ที่บังเอิญเป็นอาชีพที่มีสภาวิชาชีพควบคุมกบาลหัว เลยไม่ต้องไปด้นรนในการทำงานให้ดูแล้วน่าสังเวชมากนัก กับงานอีกอย่างในเวลานี้คือเขียนหนังสือให้อ่านกันฟรีๆแบบ e-book ที่ผมทำมาเกือบสิบปีแล้วตั้งแต่ครั้งยังทำงานหนักอยู่ เพราะการเขียนหนังสือคือการพักผ่อนของผม
จากต้องดิ้นรนในธุรกิจต้องวางแผนงาน เช้าประชุม บ่ายประชุม กลายเป็นชีวิตเวลาว่างมากขึ้น ปีหนึ่งรับงานวิชาชีพอิสระสักสองงานก็อยู่ได้แล้ว กลายเป็นว่าแผนการรดน้ำต้นไม้ของวันนี้มากไปหรือเปล่า วันนี้จะต้องเขียนเรื่องอะไรลงตรงไหน เรื่องอะไรเขียนเก็บ เรื่องอะไรเขียนลง กลุ่มผู้อ่านกลุ่มนี้ต้องเขียนอะไร อีกกลุ่มจะเขียนอะไรบ้าง วันนี้จะต้องซ่อมบ้านตรงไหนบ้าง รถคันไหนถึงเวลาต้องมุดลงไปซ่อมเองแล้ว ฯลฯ ชีวิตมันสุดขั้วหนึ่งมาจบอีกสุดขั้วหนึ่ง
ถ้าจะถามว่าอยู่ได้ไหม ครอบครัวผมอยู่ได้ถ้าตราบใดมีเงินใหลเข้าบ้านปีละล้านหลังหักภาษีตอนนี้ครอบครัวผมอยู่อย่างเดือดร้อนอะไร ลูกเรียนจบเมื่อไรคงจะตัดงานนอกออกหมดทุกอย่างไม่ต้องทำก็ยังได้ เงิน Life Pension เดือนละสามหมื่นกว่าบาทผมก็อยู่ได้สองคนตายายไม่เดือดร้อนไปจนตายโดยไม่ต้องให้ลูกมาเลี้ยงเสียด้วยซ้ำ
คนไม่เคยเสียจะไม่รู้ว่าความสูญเสียที่เข้ามาในชีวิตนั้นคืออะไร และคนที่ไม่เคยมีจะไม่รู้ว่าตัวขาดโอกาสที่ควรจะมีอะไรบ้าง สำหรับคนที่เคยผ่านโอกาสที่จะมีมาแล้วจะออกมาต่อสู้เพื่อจะให้ชีวิตของคนอีกรุ่นกลับไปมีเหมือนอย่างที่เคยมี แต่คนที่ไม่เคยมีจะไม่รู้สึกว่าจะออกมาต่อสู้เพื่ออะไร งงไหมครับ ก่อนนอนคืนนี้ผมอยากเอาอะไรจากการสนทนาบนโต๊ะกาแฟคืนนี้มาให้อ่านกัน ทุกวัยอ่านได้ ทั้งคนเคยมีและพลาดโอกาสที่จะกิดทันได้รู้สึกว่าตอนบ้านเมืองดีๆมันคืออะไร
แก้ไขล่าสุดโดย Admin เมื่อ Fri 11 Apr 2014, 8:29 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง | |
|
Admin ผู้ดูเเลระบบ
จำนวนข้อความ : 12377 Join date : 27/11/2010 Age : 68
| เรื่อง: Re: เรื่องยาว Fri 11 Apr 2014, 8:27 am | |
| สมัยในสมันต้นยุค 60's จบปริญาตรีรับราชการเงินเดือน 750บาท แต่ถ้าทำงานเอกชนก็ประมาณ 1250-1500บาท แต่นั่นคือเงินเดือนราชการซื้อทองได้ประมาณเดือนละสองบาท ทำงานเอกชนเอาเงินซื้อทองได้เดือนละสี่บาท ถ้าจะเทียบตอนนี้ ทองสี่บาทมันแสนหนึ่งแล้วนั่นคือเงินเดือนเด็กจบใหม่ นี่แหละที่ผมบอกว่าบ้านดีเมืองดีมันเป็นอย่างไร มันเป็นแบบนี้มาจนถึงยุค 80's แล้วถึงเกิดการฝันผวนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตระกร้าเงินดอลล่าในยุคประธานาธิบดีนิกสันสั่นโลกจนสภาพสมดุลการเงินโลกโดนสั่นคลอน ทองพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ 300% ตั้งแต่นั้นมาคำว่าบ้านดีเมืองดีก็เริ่มด้อยคุณภาพลง แต่ไม่ถึงกับมีใครเดือดร้อนมากนักยังทำมาหากินกันได้ปกติสุข
เพราะตอนนั้นธุรกิจอิงการเมืองแบบผูกขาดมันยังไม่มีมากเหมือนสมัยนี้ ใครมีความสามารถก็ได้งานไปแบบไม่ยากอะไร นั่งคุยขายไอเดียแล้วก็จบ ที่เหลือก็คือบริหารงาน บริหารการประชุมไปจนจบงาน เท่านี้ก็ได้เงินแล้ว บริษัทของผมมีงานเข้าบริษัทสักห้างานไม่ขาดช่วงตลอดเวลา สิ้นปีแจกโบนัสเด็กสามเดือนเกือบสิบล้านเป็นเรื่องหมูๆ
คือเด็กยุคใหม่นับจากปี 90's ลงมาไม่รู้สึกหรอกว่าชีวิตตัวเองเสียโอกาสอะไรไปบ้างกับต้องแข่งกันแย่งทำงานห่วยๆที่เงินเดือนหมื่นสองซื้อทองได้ไม่ถึงครึ่งบาท ค่ารถไฟฟ้าค่ารถเมล์เอาไปแล้ว 30% ของเงินเดือน ค่าเช่าหอพักหรือผ่อนคอนโดชานเมืองอีก 30% เหลือกินอยู่ 40%รวมเซฟวิ่งแต่ส่วนมากพึ่งมาม่าปลายเดือน แต่พวกเขาอยู่ได้และไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาไม่เคยผ่านชีวิตตอนบ้านเมืองมันดีกว่านี้ กลับคิดว่าตอนนี้มันดีอยู่แล้ว ดันมามีม็อบมาประท้วงทำให้ชีวิตของเขาลำบากขึ้น จะเห็นว่าคนที่ออกมาม็อบจะเป็นคนอีกรุ่นที่มีอายุสักหน่อยเคยเห็นบ้านดีเมืองดีเคยมีชีวิตที่จุดนั้นมาแล้ว และเห็นสภาพบ้านเลวเมืองเลวในวันนี้ก็ไม่อยากให้ลูกหลานตัวเองต้องอยู่ในสังคมแบบนี้อีกต่อไป
ถ้าเริ่มตอนยุค 60's สภาวะการเมืองเวลานั้นเริ่มจากยุคเผด็จการเต็มใบของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในช่วงยุคสงครามเวียดนามที่อเมริกันเข้ามาเต็มประเทศไทย จนมาถึงยุคสิ้นสงคราม จอมพลถนอม กิติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร แล้วเริ่มยุคประชาธิปไตยเต็มใบบ้างครึ่งใบบ้างหลังตุลาปี 16 แต่บ้านเมืองก็เอาตัวรอดได้เพราะนักการเมืองโกงชาติมันน้อยกว่าคนดี จนมาถึงยุคพ่อค้ากังฉินระบอบทักษิณใช้ระบบธุรกิจการเมืองครองเมืองมาสิบกว่าปีในยุค 2000's จนบ้านเมืองพังยับเยินเป็นแบบที่เห็น แต่เชื่อไหมว่ากลับมีคนรุ่นใหม่เห็นดีเห็นงามกับระบบธุรกิจการเมืองนี้ และยินดีกินเศษกระดูที่เขาโยนให้กินใต้โต๊ะเหมือนสัตว์เลี้ยง เพราะว่าคนรุ่นนี้ยังไม่เคยลิ้มรสชีวิตการงานที่เงินหาง่าย เรียนจบทำงาน ขยัน ฉลาด โอกาสชีวิตจะเป็นของทุกคน
แต่ตอนนี้กลายเป็นเรียนจบมาแล้วขับวินมอเตอร์ไซด์ไม่ใช่เรื่องแปลก เรียบจบมาแล้วขับแท็กซี่ไม่แปลก แฟนเรียนจบขายขนมตลาดนัด เด็กบางคนทำงานร้านสะดวกซื้อตั้งแต่ยังเรียนจนเรียนจบแล้วก็ยังต้องติดแหง็กอยู่ในร้านสะดวกซื้อ หางานดีๆทำไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลกไปแล้ว จบบัญชีปริญาตรีแทนที่จะทำงานธนาคารหรือบริษัทธนธุรกิจหรือบัญชีภาคอุตสาหกรรม หาทางก้าวหน้ากลับต้องไปเป็นแคสเชียร์ในซูเปอร์มาเก็ตยืนมันทั้งวัน คนกลุ่มนี้จะบ่นว่าม็อบทำให้เขามีชีวิตที่กระทบกระเทือนจากความสุขที่เขามี แต่เขากลับมองไม่เห็นว่าถ้าบ้านเมืองมันดีเหมือนสมัยคนรุ่นพ่อแม่ยังทำงานอยู่ คนพวกนี้ไม่ต้องขับมอเตอร์ไซด์ หรือขายขนมตลาดนัด เป็นเด็กร้านสะดวกซื้อ แต่นั่งทำงานใช้ความสามารถที่ตัวเองเรียนมาหาความก้าวหน้าในชีวิตได้สวยงามกว่านี้ สมัยนั้นทั้งงานราชการและงานเอกชนมีตำแหน่งเต็มตลาดงาน ที่คนเรียนจบแล้วหาคนตกงานน้อยมาก
นี่คือสิ่งที่คนอีกรุ่นเคยเห็นบ้านเมืองดีๆมาแล้ว และวันนี้เห็นว่าบ้านเมืองมันไปไม่รอดแน่นอนก็ออกมาช่วยให้บ้านเมืองมันหลุดจากธุรกิจการเมืองระบบทักษิณกลับเข้าไปสู่ระบบที่ดีกว่านี้ เพื่อคนรุ่นลูกหลานอีกรุ่นจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับบ้านเมืองห่วยๆแบบทุกวันนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้สักยี่สิบกว่าปีแล้วผมบอกว่าเด็กยุค 2010's จบปริญาตรีต้องขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างกับขายขนมตลาดนัดหรือต้องไปเป็นติวเตอร์พี่เลี้ยงให้เด็กเรียนหนังสือเป็นงานหลัก คนรุ่นยุค 80's นั้นคงบอกว่าผมแต่งเรื่องสยองขวัญมาหลอกพวกเขา | |
|
nares สมาชิกคอกหมู
จำนวนข้อความ : 772 Join date : 30/10/2012 Age : 66
| เรื่อง: Re: เรื่องยาว Fri 11 Apr 2014, 9:31 pm | |
| ดีมากครับ...แต่เข้าใจยากนะ...อ่านแล้วยัง งงๆเหมือนกัน...อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมีฯ จึงไม่ค่อยรู้สึกว่าสูญเสียอะไรไปนั่นเอง... | |
|
Admin ผู้ดูเเลระบบ
จำนวนข้อความ : 12377 Join date : 27/11/2010 Age : 68
| เรื่อง: Re: เรื่องยาว Fri 11 Apr 2014, 9:44 pm | |
| สรุปว่าทำชีวิตให้พอดีหรือพอเพียง คุณจะไม่สูญเสียอะไรอีก ผมไม่เคยบอกเพื่อนว่ามีมากหรือมีน้อย แต่บอกว่า ผมไม่มีวันจนไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะไม่ใช่คนรวย 555
| |
|
สัน สมาชิกคอกหมู
จำนวนข้อความ : 5066 Join date : 28/11/2010
| เรื่อง: Re: เรื่องยาว Sat 12 Apr 2014, 1:29 pm | |
| ข้อเขียนหรือคำพูดของใครน่ะ | |
|
Admin ผู้ดูเเลระบบ
จำนวนข้อความ : 12377 Join date : 27/11/2010 Age : 68
| เรื่อง: Re: เรื่องยาว Sat 12 Apr 2014, 2:24 pm | |
| ผมเจอบนเฟ้ซบุ้ค ไม่รู้ว่าเป็นวิศวกรหรือเปล่า แต่เท่าที่รู้เรื่องที่เขา เขียนน่าสนใจ แม้กระทั่งเรื่องสายการบินมาเลเซีย ชื่อvon ผมไม่ รู้ว่าอ่านเป็นชื่อไทยว่าอะไร | |
|