ผมเอารายละเอียด วิวาทะ ระหว่าง 2 ศิลปินใหญ่มาลงให้พิจารณา
กันครับ ฝ่ายเริ่มคือนายสุชาติ ที่ออกตัวว่า ไม่เอาทักษิณ และต่อ
ต้านรัฐประหาร แต่ไม่ยักบอกว่า ถ้าไม่รัฐประหาร แล้วทำยังไง
แถมยังไปแขวะรุ่นน้องที่เป็น อาจารย์ใหญ่ ของผมเสียด้วย
ยาวหน่อยครับ เรื่องนี้ไม่ลงเฟ้ซ
สุชาติ สวัสดิ์ศรี
เจ้าของนามปากกา "สิงห์สนามหลวง" โพสต์ว่า "รับไม่ไหวจริงๆ" กับตรรกะศิลปิน-นักเขียนที่ว่าประท้วงรัฐประหาร คือเอาทักษิณคืนมา โดยเขายืนยันว่า "ไม่เอาทักษิณ" และไม่เคยไว้ใจ "อำนาจจากปากกระบอกปืน" ในอดีตทหารมักอ้าง "จินตนาการสามบรรทัด" เข้ามา "ล้างท่อ" ทำไมจึงไม่เก็บรับบทเรียน และไม่รู้หรืออย่างไรว่าแสงจากดวงอาทิตย์นั้นอาจทำให้ตาบอดได้
เมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.) นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี เจ้าของนามปากกาสิงห์สนามหลวง ผู้ก่อตั้งรางวัล "ช่อการะเกด" และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ปี 2554 ได้โพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊คหลังนายสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน แสดงความเห็นว่า การประท้วงรัฐประหาร คือการเรียกร้องให้เอาทักษิณและยิ่งลักษณ์คืนมา โดยนายสุชาติแสดงความเห็นไว้ดังนี้
000
ผมตกใจอยู่เล็กๆ เมื่ออ่านพบความเห็นประเภท "ประท้วงทำไม รัฐประหาร ทำไมไม่กล้าบอกว่าเอาทักษิณคืนมา เอายิ่งลักษณ์คืนมา เอาเสื้อแดงคืนมา น่าจะตรงประเด็นกว่า".
ผมนั้นมีความเห็นชัดเจนว่า "ไม่เอาทักษิณ" มาก่อนมีกลุ่มพันธมิตรฯประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำ และเคยไปแสดงความเห็นที่ท้องสนามหลวงด้วยความเห็นว่าทักษิณเป็น "ตัวปัญหา" มาตั้งแต่ก่อนปี 2549 อีกทั้งต่อมาก็ไม่ถือตัวเองว่าเป็น"แนวร่วม" หรือ sympathizer ของ นปช.ด้วย จะเรียกผมว่า "สลิ่ม" หรือ "โรคประจำศตวรรษ" ทีเห็นประชาชนในแต่ละฝั่งข้างต่างก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือตกเป็นเหยื่อของทักษิณ และ "คนประเภททักษิณ" (คำของ นิธิ เอียวศรีวงศ์) ที่มีอยู่มากมายในแวดวงการเมืองไทยตลอดตั้งแต่ "คณะทหาร" ทำการรัฐประหารมาตั้งแต่ พ. ศ. 2490 ก็ว่าได้
พูดกันตรงไปตรงมาก็คือผมไม่ค่อยเชื่อในชัยชนะของประชาชนอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่นั้น และแม้จะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มันก็แทบไมไห้บทเรียนอะไรนัก นอกจากนั้นการเข้ามาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ทำตัวเหมือนเป็นสาขาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อนก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าการทำตัวเป็นเหมือน "แนวร่วมด้านกลับ"ให้ทหาร ดังนั้นผมจึงไม่ไว้ใจ "อำนาจจากปากกระบอกปืน"" มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารฝ่ายไหนก็ตาม และในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ทหารก็มักอ้าง "จินตนาการสามบรรทัด" (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) มาอ้างเหตุเข้ามา "ล้างท่อ" (คำของสุรชาติ บำรุงสุข) ทุกๆ เวลา 8-9 ปืต่อครั้ง และทุกครั้งที่มีการ "ล้างท่อ"ด้วยความหวังดีใดๆ ก็ตาม ผมก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ทั้งนั้น แม้ในช่วงกระอักเลือดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผมก็ตัดสินใจ"ไม่เข้าป่า"
ดังนั้น กิจกรรมทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถูกชวนให้ "เข้าพรรคการเมือง" ตลอดรวมทั้งกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ ในเวลาต่อมา ผมไม่เอาทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีคนรู้จักชักชวนแบบไหนก็ตาม ผมเป็นเพียงคนทำหนังสือ เขียนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ทั้ง นปช. และ กปปส. ผมก็มีคนรู้จักที่เลือกข้างมาชักชวนให้ไปขึ้นเวทีทั้งของ นปช. และ กปปส. แต่ผมยืนยันว่าผมไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง ชักชวนยังไงผมก็ไม่ไป ฝ่ายเหลืองมาหา ผมก็บอกว่า "ผมไม่ไปเป็นแดง คุุณก็น่าจะพอใจแล้ว" ฝ่ายแดงมาหา ผมก็บอกว่า "ผมไม่ไปเป็นเหลือง คุณก็น่าจะพอใจแล้ว" เป็นตรรกะที่น่าเตะอยู่เหมืือนกัน