ค้าขายขาดทุน บุญคืนกำไร
มีนักแต่งเพลงคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส ต่อมานักแต่งเพลงคนนี้ได้รู้จักกับพระนักเทศน์ชื่อดังอีกท่านหนึ่ง พระนักเทศน์ท่านนี้ได้เสนอแนวคิดกับนักแต่งเพลงคนนี้ว่า น่าจะลองทำเพลงที่มีเนื้อหาเป็นบทธรรมะแท้ ๆ เพื่อรวบรวมเป็นอัลบั้มเพลง อีกทั้งยังเป็นการเผยแผ่พุทธศาสนาในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย
นักแต่งเพลงคนนี้ตั้งใจทำผลงานเพลงชุดนั้นมาก แถมยังเชิญนักร้องเพลงไทยลูกกรุงชั้นนำหลายคนมาร่วมร้องเพลงในงานเพลงชุดนี้ด้วย เพลงที่ทำออกมานั้นจึงมีความไพเราะ...นักแต่งเพลงคนนี้มั่นใจว่า เทปชุดนี้ขายดีแน่นอน จึงควักกระเป๋าลงทุนเต็มที่ กะว่างานนี้รวยเละ
แต่เมื่อเทปวางแผงแล้ว ยอดขายกลับไม่เป็นไปตามเป้า แม้เสียงตอบรับของคนฟังเพลงชุดนี้จะบอกว่าเพลงเพราะ เนื้อหาสาระก็ดี แต่เทปกลับขายไม่ออก (ต่อมาจึงรู้ว่า คนอยากฟังเพลงธรรมะแบบลูกทุ่งมากกว่าแบบลูกกรุง) เจ็บตัวอย่างแรง เดิมทีนักแต่งเพลงคนนี้หวังว่าจะได้เงินก้อนโตมาใช้หนี้ จึงทุ่มทุนเต็มที่ สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าหนี้เก่าก็ไม่ได้ใช้ ซ้ำยังได้หนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
เวลาผ่านไป นักแต่งเพลงคนนี้ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์อีกครั้ง พร้อมกับพกพาเอาความทุกข์ระทมจากหนี้สินและความล้มเหลวจากการลงทุนทำเทปครั้งนั้นไปด้วย
ท่านพุทธทาสจึงถามด้วยความเมตตาว่า
"เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เพลงธรรมะที่ทำกับท่าน...."
เหมือนถูกคำถามจี้ใจดำอย่างแรง จึงตอบท่านพุทธทาสด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"โอ๊ย ไม่ไหวครับ อาจารย์ ผมทั้งเจ็บตัว เสียเวลา ขาดทุนย่อยยับ"
ท่านพุทธทาสยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะหึหึในลำคอตามสไตล์ของท่าน
พอเห็นท่านพุทธทาสหัวเราะก็อดสงสัยไใม่ได้ว่า จะเป็นเพราะท่านสมเพชในความโลภของตนหรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ท่านพุทธทาสก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
"ในการทำบุญ ไม่มีคำว่าขาดทุน"
น่าประหลาดที่คำพูดสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคสามารถทำให้เขารู้สึกสบายใจ หายทุกข์เป็นปลิดทิ้ง
ที่มา : อารมณ์ขันท่านพุทธทาส