ผมเพิ่งเขียนเรื่องพ่อของผมเองให้เพื่อนอ่านในวันที่5 วันนี้บังเอิญไปเจอเรื่องราวของช่างภาพมุมสูงคนหนึ่ง เล่าเรื่อง พ่อ ของเขา
ลงในเฟ้ส ลองอ่านดูนะครับ คล้ายๆกับเรื่องพ่อของผมเหมือนกัน
"พ่อของผม"
ตอนเด็กๆ คุณพ่อพาผมไปดูหนังเรื่องอีวอล์คหนังที่นำเอาตัวละครใน star wars มาทำเป็นหนังใหญ่แยกออกมา ผมจำไม่ได้ว่าดูที่โรงไหนรู้แต่ว่าสนุกมาก พ่อยังชอบพาผมไปไซส์งานที่นวนคร สมัยนั้นนวนครยังไม่มีโรงงานมากมายแบบนี้ พ่อไปคุมงานก่อสร้างผมก็จะไปตกปลาหมอโค้หรือปลาหมอช้างเหยียบที่หนองน้ำหลังไซส์งานรอ แต่พอโตขึ้นมาสักหน่อยตอนที่ผมมีน้องสาวพ่อก็ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ ผมไม่เห็นหน้าพ่อทีละหลายๆ เดือน บางครั้งก็เป็นปี จนกระทั่งพ่อกลับมาทำงานในเมืองไทยอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็แยกทางกันตอนนั้นผมยังเด็กรู้แค่ว่าแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว ส่วนพ่อก็ทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันค่ำ พ่อกลับดึกมากผมนอนหลับไปแล้ว พ่อออกไปทำงานเช้ามากผมตื่นขึ้นมาเห็นแต่ค่าขนมวางไว้บนโต๊ะ ชีวิตของผมและน้องถูกดูแลด้วยพี่เลี้ยง พ่อไม่มีเวลาพาเราไปดูหนัง ไม่มีเวลาให้ผมและน้องเลย ยังดีที่น้องสาวผมได้น้าและยายดูแล ส่วนผมติดเพื่อนและไม่เข้าใจพ่อ ผมรู้สึกว่าครอบครัวไม่รักและแยกออกมาอยู่คนเดียวเมื่อเริ่มปีกกล้าขาแข็ง จนเรียนจบทำงานผมเช่าหอเช่าคอนโดอยู่ไม่เคยคิดจะกลับไปบ้าน ไม่ค่อยคุยกับพ่อไม่อยากเจอหน้าพ่อเพราะเราคุยกันได้ไม่นานก็มักจะทะเลาะกันเสมอ
จนช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตกบริษัทที่ผมทำงานปิดตัวลงแบบบอกล่วงหน้าแค่หนึ่งวัน ผมกลายเป็นคนตกงานและไม่มีเงินเก็บ ผมต้องบากหน้ากลับไปหาพ่อไปทำงานกับพ่อและรู้สึกแย่กับตัวเองว่าในที่สุดเราก็ต้องพึ่งพ่อคนที่เราไม่ได้รัก ใช่ผมคิดว่าผมไม่รักพ่อจนกระทั่งวันนั้น วันที่พ่อหัวใจวายล้มลงในขณะที่ดูแลงานฉากหนังเรื่อง กำแพง พ่อถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 หลังจากหัวใจหยุดเต้นไป 10 นาที แต่คุณหมอช่วยปั๊มหัวใจกลับมาได้ ตอนผมไปที่โรงพยาบาลพ่อนอนอยู่ใน ICU ตาหลับแต่ร่างกายดิ้นมือไม้ป่ายไปมาตลอดเวลา ในปากตามหน้าอกและที่แขนมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด คุณหมอบอผมว่าพ่อต้องได้รับการผ่าตัดหัวใจโดยด่วน แต่มีความเสี่ยงมากโอกาสรอด 50-50 หมอยื่นใบยินยอมให้รับการผ่าตัดให้ผมเซ็นเพราะตอนนั้นยังไม่มีญาติคนไหนเดินทางมาถึง ผมเซ็นลายเซ็นของผมลงไปบนกระดาษแผ่นนั้น แล้วน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา มันไหลออกมาไม่หยุด ภาพของพ่อที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดนั้นพร่าเลือน แต่ความรู้สึกของผมนั้นกลับชัดเจน ผมรักพ่อ ถึงแม้ผมจะบอกตัวเองว่าเกลียดพ่อ แต่จริงๆ แล้วผมรักพ่อ รักมากที่สุดในชีวิต และผมไม่พร้อมที่จะเสียพ่อไป เพราะผมไม่เคยบอกรักพ่อเลย ผมอยากบอกว่า
"ผมรักพ่อ"
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น พ่อต้องอยู่ในห้อง CCU อีกหลายวัน หมอบอกว่าถ้าผ่านคืนนี้ไปโอกาสรอดชีวิตก็สูงขึ้น ความรู้สึกของผมที่มีต่อพ่อนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้นผมกลายเป็นผู้คุมงานฉากหนังที่เหลือ ผมต้องดูแลลูกน้องกว่า 30 ชีวิต และสานงานที่พ่อเริ่มไว้ให้เสร็จ ผมเริ่มหน้าที่ของการเป็นลูกที่รักพ่อด้วยความรับผิดชอบในงานของพ่อและหาเงินจากการทำงานมาจ่ายค่ารักษาของพ่อ จากลูกที่เคยหลอกตัวเองว่าเกลียดพ่อผมรู้แล้วว่าจริงๆ แล้วผมรักพ่อมากแค่ไหน ตั้งแต่วันนั้นความสัมพันธ์ของเราสองคนดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อค่อยๆ ฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เราสองคนคุยกันมากขึ้น ผมเองก็ได้มองย้อนกลับไปมองหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยแจ่มชัด แต่ในวันนี้มันชัดแจ่มเข้าใจมากขึ้น พ่อไม่เคยชมผมเอาแต่ด่าว่าเมื่อผมผิดพลาด แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่าพ่อภูมิใจแต่ไม่เคยชม พ่อชมผมตรงๆ ไม่เป็นแต่กลับไปชมให้เพื่อนให้คนอื่นฟังจนคำชมนั้นในที่สุดก็มาถึงผมถึงแม้จะอ้อมระยะทางไกลไปสักหน่อยก็ตาม ความเป็นคนชอบช่วยเหลือคนชอบทำเพื่อสังคมผมก็ได้การปลูกฝังมาจากพ่อ ตอนที่ผมทำขบวนการกู้โลกผมเคยออกรายการทีวีให้สัมภาษณ์หลายครั้ง พิธีกรถามว่าทำไมผมถึงต้องออกไปช่วยคนที่เดือดร้อน ผมก็ถามตัวเองจนได้รับคำตอบว่าพ่อนั่นเองที่ปลูกฝังผมมา ถึงแม้เราจะมีเวลาด้วยกันในวันที่ผมยังเด็กไม่มากนัก แต่พ่อทำให้ผมเห็นเสมอ พ่อรับคนแปลกหน้าที่เดินอกจากหมู่บ้านไปส่ง พ่อยื่นน้ำให้ตำรวจที่ยืนโบกรถอยู่บนถนน พ่อช่วยคนจากอุบัติเหตุจนเลือดเลอะเต็มรถไปงานบุญไม่ทัน และอีกหลายอย่างที่พ่อทำเป็นตัวอย่าง จนทำให้ผมกลายเป็นผมอย่างที่เป็น
จนถึงในวันนี้ผมหมดความรู้สึกที่ไม่ดีกับพ่อไปหมดสิ้น หากจะมีใครที่ผมรักมากที่สุดในโลกก็คงเป็นคนอื่นไม่ได้นอกจาก นายไสยาสน์ เสมาเงิน ผู้ให้กำเนิดนายดุสิต เสมาเงิน คนนี้ขึ้นมา ผมขอขอบคุณพ่อสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมมีวันนี้ได้เพราะพ่อ
"ผมรักพ่อครับ"
—