ยาวหน่อย แต่อยากให้เพื่อนอ่านครับ ผมอ่านแล้วน้ำตาซึม
ในปี 2528 ขณะที่ผมและเพื่อนๆกำลังก้าวเข้าไปต่อหน้าพระพักตร์เพื่อรับพระราชทานปริญญาบัตร
จากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวลานั้นเองเกิดเหตุการณ์"ไฟดับ"ทั่วประเทศไทย
ไฟที่ทำการส่องสว่างเพื่อการถ่ายภาพบัณฑิตที่กำลังเข้ารับพระราชทานปริญญาในหอประชุมใหญ่จุฬา
ลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่สามารถสร้างแสงไฟเพื่อการถ่ายภาพสำคัญของชีวิตได้ ผมไม่มีภาพถ่ายครับเพราะแสงไม่พอ ....
แต่การพระราชทานปริญญาไม่ได้หยุดลง แม้ไฟจะมืดลงแต่พิธีการสำคัญยังคงดำเนินต่อไป....
ปริญญาบัตรลงมาพร้อม ๆ กับผมด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวว่า ทำไมต้องเป็นเราที่จะไม่มีภาพสำคัญนี้ เศร้า
แต่............
อีกสักพักหนึ่งซึ่งนานพอสมควร ......อาจารย์ที่ผมไม่รู้จักเดินมาบอกพวกผมว่า
ในหลวงทรงรับสั่งให้บัณฑิตที่รับพระราชทานปริญญาช่วงที่ไฟดับ
ที่ถ่ายภาพไม่ติดประมาณ 6 คนขึ้นไปรับพระราชทานปริญญาอีกรอบหนึ่ง.......!!!!
อะไรกันนี่ เป็นไปได้เหรอ !
อะไรกัน ในหลวงท่านทรงรับรู้ถึงความเศร้าของพวกผมได้อย่างไร!
ท่านไม่ทรงเหนื่อยล้าแล้วหรอกเหรอ ทรงพระราชทานปริญญาให้กับบัณฑิตมากมายแล้ว!
ท่านสงสารพวกเราขนาดนั้นเลยเหรอ!
ถ้าท่านจะมีพระราชดำริว่า ทรงงานมามากแล้วขอเสด็จกลับ
คงจะไม่มีใครคิดว่าอะไร
ผม 6 คนก็แค่ผงธุลีที่ไร้ความหมายใด ๆ จะทรงให้ความสำคัญให้เหนื่อยไปอีกเพื่ออะไร
แต่ท่านมิได้คิดเช่นนั้น ท่านเห็นความสำคัญของความรู้สึกของคนไทยน้อย ๆ 6 คนนั้นอย่างที่ผม
ไม่รู้จะพูดบรรยายความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
ผมปลาบปลื้มจนน้ำตาไหล
แล้วผมก็ขึ้นไปรับพระราชทานปริญญาบัตรมาจนได้ภาพนี้มาครับ
ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้และคิดได้ว่า เหตุผลท่านจึงไม่มองข้ามเราไป ในหลวงท่านทรงมีพระประสงค์อย่างแน่วแน่
ที่จะให้เรารับปริญญามาด้วยความรู้สึกว่าเรา เราต้องเป็นคนดีของสังคม ผมมีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับสิ่งเดียว
ที่ในหลวงทรงสัมผัสมาแล้วนั่นคือปริญญาใบนี้นี่เอง ปริญญาใบนี้จะเป็นสิ่งสูงสุดที่จะคอยเตือนใจให้ผมทำความดี
ตามพระประสงค์ของในหลวง
พระองค์ที่สูงเทียมฟ้าแต่กลับเห็นความรู้สึกของผงธุลีอย่างพวกผม
ผมสัญญากับตัวเองในวันนั้นว่า ผมจะเป็นคนดีของสังคม และจะรักในหลวงยิ่งชีวิต
ขนาดคนอย่างผมยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณขนาดนี้ สังคมไทยในหลายๆส่วนคงต้องได้รับจากพระองค์ท่าน
มากมายเหลือคณานับ
นี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ของผมที่จะบอกว่า ทำไมผมรักในหลวง ... ผมรักในหลวงยิ่งชีพครับ
...