มีผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลาท่านหนึ่งเมื่ออกจากป่า ประกาศตนว่า.เป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์.ออกมาศึกษาต่อจนเป็นด้อกเตอร์ เงียบหายไปจากการเมือง จนมีชื่อในจำนวน112คนในการสนับสนุนการแก้ไขกม.มาตรา112แต่ถอนตัวทัน..เสียรังวัดไปนิดหน่อย..
แต่ซากเดนทางการเมืองที่รู้จักในนามประธานคนใหม่เป็นผู้หญิงวัยไม้ใกล้ฝั่ง ก็ยังลุกขึ้นมาทำความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ทั้งๆที่เป็นวัยที่ต้องเลี้ยงหลานหรือเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วก็ยังไม่วาย ผมถึงนึกถึงคำว่าลุ่มหลงมัวเมาพอลงสมัครสส.ก็ไม่มีคนเลือก..ก็ยังไม่รู้ตัว..บ้านเมืองเสียเวลากับผู้คนไม่กี่คนมานานกว่า 5 ปี แต่ดูเหมือนที่ยังเกาะติดกันอยู่เหนียวแน่นคือผลประโยชน์จากความขัดแย้งเป็นหนทางทำมาหากินของตนเองและสาวก
ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะผ่านช่วงชีวิตมากว่า50ปี อายุมากกว่าแกนนำโจรและรมช.เผาเมืองก็หลายปี เกิดก็ทันยุคเดียวกับเหตุการณ์ที่หลายคนชอบกล่าวอ้างเพื่อความเป็นวีรชนของตัวเอง ทั้งๆที่ไม่เคยสร้างคุณประโยชน์
ให้กับประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย ขยันสร้างความขัดแย้งสร้างราคาค่างวดให้กับตัวเองที่เหลือเวลาหายใจอยู่
น้อยเต็มที
ไอ้คำว่าตาสว่างที่พูดกันบ่อยๆ น่าจะเป็นตาที่มองเห็นแต่หัวใจที่มืดบอดมากกว่า