ปีนี้คงไม่เขียนถึงความเป็นมาของวันวาเลนไทน์และมาฆบูชาอีก เพราะเขียนมา 2 ปีแล้ว มันก็เหมือนการจัดป้ายนิเทศที่แสนจะน่า
เบื่อที่บอกเรื่องราวซ้ำๆมาทุกปีนั่นแหละ ซึ่งเดี๋ยวนี้ผู้คน เด็กๆ ก็ไม่ค่อยสนใจกันแล้ว งานสำคัณต่างๆจึงดูฉาบฉวย เหมือนทำไป
ตามกระแส ไม่ว่ากราบแม่วันแม่ ไหว้ครูวันครู ไปวัดในวันสำคัญ และให้ดอกกุหลายวันวาเลนไทน์ โดยลืมความหมายของวัน
เหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
ผมจำได้ว่าในวันปีใหม่จะได้สคส.เป็นจำนวนมาก จากคนรู้จัก ลูกศิษย์ และเพื่อนๆ และได้รับน้อยลงน้อยลงสวนทางกับอายุที่
มากขึ้น ซึ่งตอนนั้นผมให้ความสำคัญกับสคส.มากกว่าวันอื่นๆ แต่ผมไม่ได้รับสคส.มาเป็น10ปีแล้ว นอกจากบริษัทประกัน
หรือบริษัทรถ หรือธนาคาร บางบริษัทส่งการ์ดวันเกิดมาหลายปีจนไม่ได้ซื้อสินค้า ก็ไม่ได้รับอีกเลย
แต่สำหรับวันวาเลนไทน์แล้ว ผมไม่เคยได้รับดอกกุหลาบเลยสักดอกเดียวจากตอนเป็นหนุ่มมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นที่ไม่ค่อย
ได้รับความรักเท่าไร แต่รักเขาไปทั่ว ผมก็ถือว่าโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ผมรู้จัก ที่รักกันแล้วก็เลิก แล้วก็รัก เวลารักกันดูเหมือน
จะมีความสุข แต่เวลาเลิกกันก็จะมีความทุกข์ แต่ก็ยังโชคดีที่มีโอกาสได้รักและรู้ว่า ความรักนั้นเป็นอย่างไร ทั้งสุข ทุกข์
หวานชื่น และเจ็บปวด สัญญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์จึงมีทั้งช็อคโกแล็ตซึ่งหมายถึงความหวานและความสุข ส่วนดอกกุหลาบ
ก็คือความงามและความทุกข์คือกลีบดอกและหนามแหลม
ทีแรกผมไม่เข้าใจคำว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ หรือ ความรักทำให้ตาบอด ตอนหลังซาบซึ้งกับสิ่งเหล่านี้ดี
แต่ความรักที่แท้จริงนั้นหาได้ยากเต็มที ในโลกใบนี้ ถึงอย่างไรในวันวาเลนไทน์นี้ผมอยากให้เพื่อนๆนึกถึงคนข้างๆที่เขารักเรา
และให้เราทั้งชีวิต ทำให้เขา มีความสุข สักวันก็ยังดี