๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ จิตร ภูมิศักดิ์ถูกยิงจนถึงแก่ความตายที่สกลนคร จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่ใกล้ ๆ กับเทือกเขาภูพาน ซึ่งขณะนั้นมีที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งอยู่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ พ.ค.ท. ได้ประกาศการจับอาวุธขึ้นทำการปฏิวัติเพื่อตอบโต้ระบอบเผด็จการของสฤษดิ์ และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ก่อนที่จิตรจะเข้าป่าได้ไม่นานนัก กองกำลังของ พ.ค.ท. กับกองทหารของรัฐบาลก็เกิดสู้รบกันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเป็นการปะทะกันด้วยอาวุธเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี การตายของจิตรก็มิได้บรรจุอย่างลงตัวอยู่ในประวัติศาสตร์ของสงครามประชาชนต่อต้านรัฐบาลไทย กำนันคนหนึ่งเคยโอ้อวดให้นักเรียนไทยในต่างประเทศฟังว่า เขาเป็นคนลั่นกระสุนสังหารนัดนั้นเอง และพวกอเมริกันที่สำนึกในบุญคุณนี้ ก็ให้รางวัลตอบแทนเขาด้วยการให้ไปเที่ยวฮาวาย
จิตรและนักรบอีกคนหนึ่งต้องการอาหาร จึงลงมายังหมู่บ้านที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัย พวกเขาขอข้าวจากหญิงชราคนหนึ่ง แต่เธอกลับแจ้งเรื่องผู้ชายสองคนนี้กับเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้าน ซึ่งออกตามล่าจิตรและยิงเขาบาดเจ็บทีขา เขาพยายามที่จะหนีเข้าป่า ชาวบ้านติดตามเขาไป และในที่สุดก็ฆ่าเขาตาย เขามีเงินติดตัวอยู่บ้างเล็กน้อย มีบัตรประจำตัว และสมุดบันทึกจดค่าใช้จ่าย กระนั้นก็ดี ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่าสภาพศพไม่อยู่ในวิสัยที่จะชี้ตัวได้แน่ชัดว่าเป็นใคร และมือข้างหนึ่งยังถูกตัดส่งมายังกรุงเทพฯ เพื่อพิสูจน์ลายนิ้วมือ อาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านไม่แน่ใจว่าพวกเขาทำถูกหรือไม่ ข่าวดังกล่าวถูกส่งเป็นโทรเลขแจ้งมายังกรุงเทพฯ ทางการมิได้ประกาศเรื่องการเสียชีวิตนี้ออกมา
ต่อมาการตายได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการสร้าง “จิตร ภูมิศักดิ์” ขึ้นมา และสร้างปริศนาเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับ พ.ค.ท. ให้เกิดขึ้น ดูเหมือนว่า พ.ค.ท. จะละเลยไม่ใส่ใจด้วยการยอมให้สมาชิกผู้อ่อนหัดถูกตัดขาดไปจากพรรค ช่วงเวลานี้ถูกตีความว่าเป็นเสมือนข้อยืนยันต่อมาสำหรับจิตสำนึกทางสังคมนิยม และทางมนุษยธรรมของเขา นั่นคือ วางชะตากรรมของตนเองไว้กับคนยากจนและคนที่ถูกเหยียบย่ำ จิตรได้ไว้วางใจหญิงชาวนาวัยชราผู้หนึ่ง
..........................................................................................................................................................
เรื่องข้างบนนี้เป็นข้อสรุปและบทวิเคราะห์ ความตายของจิตร ภูมิศักดิ์ ของ Craig J. Reynolds แปลโดย อัญชลี สุสายัณห์ จาก “Jit Poumisak in Thai History”