ผมเอาข้อเขียนนี้มาจากเฟ้ซ ท่านผู้นี้เป็นคนที่(ผมคิดว่า)มีความรู้จริงท่านหนึ่ง นำมาเสนอท่านเรศ
พิจารณาครับ
วันนี้มีผู้ปฎิบัติธรรมมาปรึกษาเรื่องของการพิจารณาความเจ็บปวดทุกขเวทนาว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้ตรงกับ โพชฌงค์ 7 ตามคำแนะนำของสถานปฎิบัติธรรมและการรักษาทางชีวจิตแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเองกำลังจะพบกับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดและไม่อยากใช้ยาหลังผ่าตัดตามคำแนะนำของสถานปฎิบัติธรรมนั้น
ผมได้ให้คำแนะนำไปว่า ตามปกติความเจ็บปวดนั้นแม้เราจะไม่พิจารณามันมันก็แทรกเข้ามาในจิตทุกสภาวะอยู่แล้ว ผมมีแต่แนะนำทุกคนให้ละเว้นการเอาแว่นขยายไปไปจับที่เวทนาที่บังเกิดขึ้น ให้รู้สึกเหมือนเด็กแรกเกิดที่ไม่รู้ถึงข้อแตกต่างของสุขทุกข์ที่เกิดขึ้น ให้รู้สึกเหมือนดูหนังใบ้ที่มีแต่ภาพไร้เสียง เพียงผ่านตาไปไร้การแปลไร้การรับรู้ไม่ต่างกับมองภาพผ่านหน้าต่างรถเท่านั้น
ความเจ็บปวด กับ ความอยากในกามราคะ มันคล้ายกันอย่างมาก แม้ไม่ไปพิจารณามัน มันก็ยังแทรกตัวเข้ามาในจิตจนบางคนนอนไม่หลับ ผมจึงมองไม่เห็นว่าจะไปเอาแว่นขยายไปจ่อมันทำไม เอาแค่รับรู้ว่ามันเจ็บปวดอยู่ มันอยากในกามราคะอยู่ เท่านั้นพอแล้ว ไม่ต้องเอาแว่นขยายไปจ่อมันก็เบ่งตัวจนใหญ่คับซอยในจิตอยู่แล้ว
คือรู้ว่าส้วมมันเหม็นก็ไม่จำเป็นต้องเอาจมูกไปจ่อที่โถส้วมพิจารณา ผมไม่ได้ปฎิเสธการรับรู้ ผมไม่ได้ปฎิเสธการพิจารณา แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการเอาใจไปจ่อที่เวทนาที่กำลังจะเข้าไปกอดกับจิต คือมันคนละอย่างนะ การพิจารณากับเอาใจไปจ่อที่ความเจ็บปวด มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน
เรื่องสมาธินั้นถ้าจะพิจารณาตาม สมาธิสัมโพชฌงค์ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์ หมายถึงการรักษาสมาธิอันนิ่งแล้วให้คงอยู่ไม่ให้เลื่อนหลุดไปตามทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ให้ตั้งสมาธิไปจดจ่อกับความเจ็บปวด ทำแบบนั้นแล้วเราจะมี ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบกายสงบใจได้อย่างไร เหมือนเอา สมาธิสัมโพชฌงค์ ไปฆ่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ซึ่งไม่ถูกต้องตามความหมายที่มีอยู่
ถ้าผมไม่ลืมผมจะอธิบายอีกครั้งว่าทำไม่ผมถึงลาก สมาธิสัมโพชฌงค์ ไปชนกัน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ทำไมสมาธิไม่จับคู่กับ รูปราคะ อรูปราคะ กับอีกฝั่งเป็นปัสสัทธิต้องเป็น กามราคะ เรื่องนี้ยาวมาก แต่ให้รู้ไว้ง่ายๆว่าความเจ็บปวดกับความอยากในกามมันมีแอ็กชั่นกับจิตที่ใกล้กันมาก วันไหนว่างๆในห้องเรียนก็ช่วยเตือนผมด้วยว่าผมยังติดหนี้อธิบายเรื่องนี้อยู่
วิธีการพิจารณาเอาแว่นขยายไปจับที่ความเจ็บปวดวิธีนี้ครูบาอาจารย์พระป่าสายท่านอาจารย์มั่นได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่าเป็นวิธีหักดิบวิ่งชน ถ้าไม่แกร่งจริงๆแล้วจะสู้มันไม่ได้ เพราะกว่ามันจะไร้พิษสงมาทำอะไรเราไม่ได้ มันจะเล่นงานเราจนอ่วมเสียก่อน คือมันจะเจ็บปวดมากจนถึงมากที่สุดจนแม้แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยมันจะถูกขยายจนมากเท่าภูเขาแล้วก็จะหลุดออกมาเหมือนเจ็บปวดหนักหนาสาหัสจนสลบไป หลังจากนั้นมันก็จะทำอะไรเราอีกไม่ได้แล้วคือเจ็บจนขาดใจแล้วก็ชาไปเอง แต่คนที่กล้าชนกับมันได้ถึงขนาดนั้นถ้าไม่ใช่ระดับครูบาอาจารย์หรือผู้ปฎิบัติะรรมอย่างเข้มแข็งจะหาคนผ่านจุดนั้นได้ยาก
แต่จะลองดูผมก็ไม่ห้ามหรอกนะครับ จะเอาแว่นขยายไปส่องความเจ็บปวดมันผมก็ไม่ห้าม
แต่ถ้าเป็นผมเองต้องสู้กับความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ผมจะกินยาตามที่หมอบอก ผมจะให้หมออัดยาให้เต็มที่ แม้กระทั่งมอร์ฟีนในช่วงสองวันแรกผมก็แนะนำให้ลองเคลิ้มกับมันสักพัก เอาไว้สุขภาพพอไปไหวแล้วค่อยมาปฎิบัติธรรมอย่างมีจิตใจแจ่มใส นั่งขัดสมาธิแข็งแรงหลังตรงเหมือนทวนที่เสียบไว้บนรถศึกจะเหมาะกว่า
ผมจะบอกทุกคนบ่อยๆอยู่ว่าถ้าตอนลืมตาสุขน้อยกว่าตอนเริ่มหลับตา แสดงว่าการทำสมาธิครั้งนี้เสียเวลาเปล่า ถ้าครั้งหน้าก็ยังเป็นแบบนี้ก็เอาเวลาไปรดน้ำต้นไม้ให้ใจมีสุขดีกว่า แล้วค่อยหาช่องทางเหมาะๆตลบหลังเปิดศึกกับจิตใหม่อีกรอบ